วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

Project 4 E-book --ออกแบบ Template--

Template ที่สมาชิกกลุ่มช่วยกันออกแบบเพื่อใช้ใน E-book





และนำ Template ทั้งหมดที่ออกแบบมาสร้างเป็น Template ใหม่ที่จะให้ใน E-book





วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

Project 4 E-book --เลือกหัวข้อในการทำ E-book--

จากการระดมสมองเลือกหัวข้อหลักตกลงเลือกเรื่อง Co-operative Learning โดยมีเนื้อหาดังนี้

การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ  (Cooperative Learning)
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยใช้กระบวนการกลุ่มให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์และเกิดความสำเร็จร่วมกันของกลุ่ม ซึ่งการเรียนแบบร่วมมือไม่ใช่เป็นเพียงจัดให้ผู้เรียนทำงานเป็นกลุ่ม เช่น ทำรายงาน ทำกิจกรรมประดิษฐ์หรือสร้างชิ้นงาน  อภิปราย ตลอดจนปฏิบัติการทดลองแล้ว ผู้สอนทำหน้าที่สรุปความรู้ด้วยตนเองเท่านั้น แต่ผู้สอนจะต้องพยายามใช้กลยุทธ์วิธีให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการประมวลสิ่งที่มาจากการทำกิจกรรมต่างๆ จัดระบบความรู้สรุปเป็นองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นหลักการสำคัญ
ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 4-6 คน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการทำงานร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมกันรับผิดชอบงานในกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้เกิดเป็นความสำเร็จของกลุ่ม
ลักษณะของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การจัดกิจกรรมแบบร่วมแรงร่วมใจว่ามีลักษณะ ดังนี้
1. มีการทำงานกลุ่มร่วมกัน  มีปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม
2. สมาชิกในกลุ่มมีจำนวนไม่ควรเกิน  6  คน
3. สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันเพื่อช่วยเหลือกัน
4. สมาชิกในกลุ่มต่างมีบทบาทรับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย  เช่น

วัตถุประสงค์ของการเรียนแบบร่วมมือ
1. เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนทุกระดับความสามารถ
2. เพื่อส่งเสริมการช่วยเหลือร่วมมือกันระหว่างผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกัน
3. เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์การเป็นผู้ชนะ และมีความสำเร็จในการเรียน
4. เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่างๆ ด้วยตนเอง
5. เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะทางสังคมต่างๆ เช่น ทักษะการสื่อสาร
    ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ รวมทั้งทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการคิดการแก้ปัญหา เป็นต้น
องค์ประกอบที่สำคัญ
การเรียนแบบร่วมมือมีหลายเทคนิค เช่น จิกซอ ซีไออาร์ซี ทีจีที 
แต่ละเทคนิค  มีองค์ประกอบในการจัดการเรียนการสอนคล้ายกัน ดังนี้


ขั้นตอนการจัดกิจกรรม

1. ขั้นเตรียมการ
   1.1 ผู้สอนชี้แจงจุดประสงค์ของบทเรียน
   1.2 ผู้สอนจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย  กลุ่มละประมาณไม่เกิน  6  คน  มีสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน  ผู้สอนแนะนำวิธีการทำงานกลุ่มและบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม
2. ขั้นสอน
   2.1 ผู้สอนนำเข้าสู่บทเรียน  บอกปัญหาหรืองานที่ต้องการให้กลุ่มแก้ไขหรือคิด
วิเคราะห์  หาคำตอบ
  2.2 ผู้สอนแนะนำแหล่งข้อมูล  ค้นคว้า หรือให้ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการคิดวิเคราะห์
  2.3 ผู้สอนมอบหมายงานที่กลุ่มต้องทำให้ชัดเจน
3. ขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม
  3.1 ผู้เรียนร่วมมือกันทำงานตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับ  ทุกคนร่วมรับผิดชอบ ร่วมคิด ร่วมแสดงความคิดเห็น การจัดกิจกรรในขั้นนี้  ครูควรใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจ  ที่น่าสนใจและเหมาะสมกับผู้เรียน  เช่น  การเล่าเรื่องรอบวง  มุมสนทนา  คู่ตรวจสอบ  คู่คิด  ฯลฯ
  3.2ผู้สอนสังเกตการณ์ทำงานของกลุ่ม  คอยเป็นผู้อำนวยความสะดวก  ให้ความกระจ่างในกรณีที่ผู้เรียนสงสัยต้องการความช่วยเหลือ
4. ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ  ขั้นนี้ผู้เรียนจะรายงานผลการทำงานกลุ่ม ผู้สอนและเพื่อนกลุ่มอื่นอาจซักถามเพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดเจน  เพื่อเป็นการตรวจสอบผลงานของกลุ่มและรายบุคคล
5. ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงานกลุ่ม  ขั้นนี้ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกัน สรุปบทเรียน  ผู้สอนควรช่วยเสริมเพิ่มเติมความรู้  ช่วยคิดให้ครบตามเป้าหมายการเรียนที่กำหนดไว้  และช่วยกันประเมินผลการทำงานกลุ่มทั้งส่วนที่เด่นและส่วนที่ควรปรับปรุงแก้ไข
การวัดและประเมินผล
1. ตามรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคต่างๆ โดยสรุปจะมีทั้งคะแนนรายบุคคลและรายกลุ่ม
2. วิธีการวัดผลใช้การทดสอบความรู้ การสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มการประเมินผลงาน และการสัมภาษณ์ความรู้สึกความคิดเห็น
3. เครื่องมือที่ใช้วัดผล ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์แบบประเมินผลงาน
4. ช่วงเวลาที่ใช้วัดผลคือ ก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน
การเตรียมตัวของผู้สอน
1. ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) จัดกลุ่มผู้เรียนให้ทำงานด้วยกันได้อย่างเหมาะสม และมีเป้าหมายการทำงานเดียวกัน
2. จัดหลักสูตรหรือหน่วยที่เหมาะจะเรียนแบบร่วมมือ
3. แจ้งเป้าหมายของงานให้ผู้เรียนทำ อธิบายกิจกรรมการเรียนรู้อย่างชัดเจน
4. ดูแลประสิทธิภาพของการทำงานกลุ่ม ให้ความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น
5. ให้ข้อมูลย้อนกลับของผู้เรียนทั้งด้านเนื้อหาและทักษะการทำงาน
6. ประเมินผลสัมฤทธิ์และส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
ตัวอย่างการสอน
-  การเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคจิกซอว์
-  ถ่ายทำเป็นวีดิทัศน์ ใช้เวลาชมประมาณ 15 นาที
-  เนื้อหาที่เรียนคือ ประวัติศาสตร์โลก เป็นเนื้อหาในระดับปริญญาตรีโดยผู้เชี่ยวชาญที่เรียบเรียงเนื้อหา คือศาสตราจารย์ ดร.สิริวรรณ ศรีพหล
-  นักศึกษาในวีดิทัศน์ คือนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตหลักสูตรและการสอน จำนวน 16 คน
ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน
-  ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้เนื้อหาสาระได้ด้วยตนเอง โดยความร่วมมือและช่วยเหลือจากเพื่อนๆ
-  ผู้เรียนพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการประสานสัมพันธ์ ทักษะการคิดทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการแก้ปัญหา เป็นต้น
-  ผู้เรียนกระตือรือร้นเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองโดยรอบด้าน
-  ผู้เรียนซึมซับวิถีการทำงานร่วมกันเป็นคณะ เมื่อเติบโตเข้าสู่สังคมจะสามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา : http://innovation.kpru.ac.th/web18/551121807/innovation/index.php/2014-02-21-03-28-50

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

Project 4 E-book --หาหัวข้อและเนื้อของหนังสือ--

Questioning Method

การจัดการเรียนรู้แบบใช้คำถาม (Questioning Method)
               เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนากระบวนการทางความคิดของผู้เรียน โดยผู้สอนจะป้อนคำถามในลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นคำถามที่ดี สามารถพัฒนาความคิดผู้เรียน ถามเพื่อให้ผู้เรียนใช้ความคิดเชิงเหตุผล วิเคราะห์ วิจารณ์ สังเคราะห์ หรือ การประเมินค่าเพื่อจะตอบคำถามเหล่านั้น
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้คำถาม
 มีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้
1. ขั้นวางแผนการใช้คำถาม ผู้สอนควรจะมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะใช้คำถามเพื่อ
วัตถุประสงค์ใด รูปแบบหรือประการใดที่จะสอดคล้องกับเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของบทเรียน
2. ขั้นเตรียมคำถาม ผู้สอนควรจะเตรียมคำถามที่จะใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดย
การสร้างคำถามอย่างมีหลักเกณฑ์
3. ขั้นการใช้คำถาม ผู้สอนสามารถจะใช้คำถามในทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้และอาจจะสร้างคำถามใหม่ที่นอกเหนือจากคำถามที่เตรียมไว้ก็ได้ ทั้งนี้ต้องเหมาะสมกับเนื้อหาสาระและสถานการณ์นั้น ๆ
4. ขั้นสรุปและประเมินผล
     4.1 การสรุปบทเรียนผู้สอนอาจจะใช้คำถามเพื่อการสรุปบทเรียนก็ได้
     4.2 การประเมินผล ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการประเมินผลตามสภาพจริง

ประโยชน์
1. ผู้เรียนกับผู้สอนสื่อความหมายกันได้ดี
2. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. สร้างแรงจูงใจและกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน
4. ช่วยเน้นและทบทวนประเด็นสำคัญของสาระการเรียนรู้ที่เรียน
5. ช่วยในการประเมินผลการเรียนการสอน ให้เข้าใจความสนใจที่แท้จริงของผู้เรียน และ
วินิจฉัยจุดแข็งจุดอ่อนของผู้เรียนได้
6. ช่วยสร้างลักษณะนิสัยการชอบคิดให้กับผู้เรียน ตลอดจนนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนตลอดชีวิต

ที่มา : http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=3eef93ad6684ca88


Cooperative Learning
        
             การส่งเสริมการเรียนแบบร่วมมือ  สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี  และได้เรียนรู้ทักษะทางสังคมและการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
   1) การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน
   2) การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด
   3) ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน
   4) การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย
   5) การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม
ผลของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
   1) มีความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายมากขึ้น
   2) มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนดีขึ้น
   3) สุขภาพจิตดีขึ้น
ประเภทของกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ
   1) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ
   2) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือย่างไม่เป็นทางการ
   3) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างถาวร

ที่มา : http://jintana22muk.blogspot.com/2012/07/theory-of-cooperative-or-collaborative.html


Cognitivism
กลุ่มพุทธินิยม หรือกลุ่มความรู้ความเข้าใจ หรือกลุ่มที่เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด นักคิดกลุ่มนี้เชื่อว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมข้อมูล การสร้างความหมาย และความสัมพันธ์ของข้อมูล และการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำและการแก้ปัญหาต่าง ๆ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง
ทฤษฎีในกลุ่มนี้ทีสำคัญ ๆ มี 5 ทฤษฎี คือ 
1. ทฤษฎีเกสตอลท์(Gestalt’s Theory)
2. ทฤษฎีสนาม (Field Theory)
3. ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory)
4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory)
5. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A Theory of Meaningful Verbal Learning)

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/kunwee/2007/10/10/entry-2


Google For education
คือชุดของฟรีอีเมลล์จาก Google และเครื่องมือต่างๆ เป็นแบบระบบเปิดในการทำงานร่วมกัน เปิดกว้างสำหรับคุณครู นักเรียนนักศึกษา ชั้นเรียน และสมาชิกในครอบครัวทั่วโลก ตัวอย่างเครื่องมือที่เป็นที่นิยมใช้ที่ท่านรู้จักดี เช่น อีเมล (Gmail), เอกสาร (Docs), ปฏิทิน (Calendar) และ Groups เป็นต้น แต่เครื่องมือเหล่านี้จะใช้สำหรับในการเรียนการศึกษา
ที่มา : http://www.it24hrs.com/2012/google-apps-for-education-th/

ประโยชน์สำหรับชั้นเรียน
เตรียมการได้ง่าย
ครูสามารถเพิ่มนักเรียนได้โดยตรงหรือแชร์รหัสเพื่อให้นักเรียนเข้าชั้นเรียนได้ การตั้งค่าใช้เวลาเพียงครู่เดียว
ประหยัดเวลา
กระบวนการมอบหมายงานเรียบง่าย ไม่สิ้นเปลืองกระดาษ ทำให้ครูสร้าง ตรวจ และให้เกรดงานได้ในที่เดียวกัน
ช่วยจัดระเบียบ
นักเรียนสามารถดูงานทั้งหมดของตนเองได้ในหน้างาน และเนื้อหาสำหรับชั้นเรียนทั้งหมดจะจัดเก็บอยู่ในโฟลเดอร์ภายใน Google ไดรฟ์โดยอัตโนมัติ
สื่อสารกันได้ดีขึ้น
Classroom ทำให้ครูส่งประกาศและเริ่มการพูดคุยในชั้นเรียนได้ทันที นักเรียนสามารถแชร์แหล่งข้อมูลกันหรือตอบคำถามในสตรีมได้
ประหยัดและปลอดภัย
เช่นเดียวกับบริการอื่นใน Google Apps for Education กล่าวคือ Classroom ไม่มีโฆษณา ไม่ใช้เนื้อหาหรือข้อมูลของนักเรียนในการโฆษณา และให้บริการฟรีสำหรับโรงเรียน

ที่มา : https://www.google.com/intl/th/edu/classroom/

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

Project 4 E-Book --รายละเอียด--


Project 4 :  E-book 


     Assignment : สร้าง E-book ในขอบข่ายของการศึกษา 
     Project Sheet : Project3 (project4.pdf) important
     Period : 25/02/2558 - 01/04/2558
     Present : 25/03/2558

ตัวอย่าง E-book


ที่มาของภาพ : http://image.dek-d.com/23/2203589/102789665

ที่มาของภาพ : http://www.ct.ac.th/ct/images/Ton/eBook61/images/k2.jpg

ที่มาของภาพ : https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5l254wovC4eKP-nPmnAvgp13CxjJFAGR08YwQhrlJnq5ElGlp88_WXciiKr-gpim-ic2VyRoNaPnhjxfzOf_5poMZJ2S3KZuY_qj2AN8dIe9iL9zar0RlqQ2HZvIPUZ21kU95vGnTzG8c/s400/3.JPG