วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Project 3 E-newsletter --ขั้นค้นหาข้อมูล--


หัวข้อข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับปัญหาการศึกษาไทย



เมื่อครูต้อง “หมกมุ่นกับเอกสาร
ในช่วง 10 กว่าปีมานี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายโดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ พูดถึงคุณภาพเด็กไทยที่เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ทั้งความรู้เชิงวิชาการและทักษะการใช้ชีวิตในสังคม เข้าทำนอง เรียนก็ไม่เก่ง นิสัยก็ไม่ดี ด้านหนึ่งครูบาอาจารย์ทุกระดับชั้นกลายเป็นจำเลย ถูกประณามว่าไม่สามารถสอนให้เด็กเป็นคนเก่ง-คนดีได้ บางส่วนลามไปถึงสถาบันการศึกษาที่ผลิตบุคลากรวิชาชีพครูว่าเป็นคณะที่ไร้ประโยชน์ เปลืองงบประมาณ สมควรถูกยุบไปเลยทีเดียว
อีกด้านหนึ่ง เสียงสะท้อนของผู้ประกอบวิชาชีพครู ระบุว่าทุกวันนี้ชีวิตการทำงานของครูถูกแขวนไว้กับเอกสารทางวิชาการ ในแต่ละปี ครูคนหนึ่งต้องทำเอกสารประเมินมากมาย รวมทั้งเดินสายอบรมสัมมนาเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของสถาบันการศึกษาต้นสังกัด อันมีผลต่อการเลื่อนชั้นยศและเงินค่าวิทยฐานะต่างๆ ทั้งนี้เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าครูก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ต้องกินต้องใช้ มีครอบครัวต้องดูแล เมื่อถูกบังคับให้ต้องเลือกเช่นนี้ ครูหลายคนจึงจำใจละเลยงานสอนและดูแลความประพฤติเด็ก ไปให้น้ำหนักกับงานเอกสารแทน
 “ทุกวันนี้นโยบายที่ลงมาถึงตัวครูเอง เหมือนว่าเมื่อเปลี่ยนขั้วนโยบายก็ต้องเปลี่ยน ต้องปรับตัวเพื่อเตรียมตัวประเมินเพื่อรองรับนโยบาย ดังนั้นก็จะมีแต่เรื่องประเมิน ประเมิน ประเมินอย่างเดียว จนครูต้องมาเตรียมงานประเมิน ไม่มีเวลาให้ห้องเรียน ละทิ้งห้องเรียน
สามารถ สุทะ ครูห้องเรียนเรือนแพ โรงเรียนบ้านก้อจัดสรร จ.ลำพูน และเป็นครูต้นแบบของตัวเอกในภาพยนตร์ดังเรื่องหนึ่ง ระบายความรู้สึกถึงภาระหน้าที่ของครูในระบบการศึกษา ที่เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนขั้ว หรือกระทรวงศึกษาธิการเปลี่ยนผู้บริหาร นโยบายก็มักจะเปลี่ยนไปด้วย
ผลคือครูต้องใช้เวลามากมายไปกับการปรับตัวเพื่อเตรียมการสอน ภาระหนักจึงอยู่กับครูที่ไม่รู้ว่าจะต้องสอนอย่างไรกันแน่ และเคราะห์ร้ายที่สุดย่อมตกอยู่กับเด็ก เพราะเมื่อครูไม่ได้สอน นักเรียนก็ไม่มีความรู้ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ผลการเรียนตกต่ำ จึงอยากฝากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจกำหนดนโยบาย ช่วยให้ความชัดเจนในเชิงนโยบาย ไม่เปลี่ยนไปมาบ่อยๆ ด้วย เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถทำงานได้ถูกต้อง
                 “ฝากผู้ใหญ่นะครับ ถ้าเป็นไปได้ นโยบายควรจะทำให้เกิน 6 เดือนหรือ 1 ปี ถึงจะประเมินผล ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนขั้วก็เปลี่ยนนโยบาย ผู้ปฏิบัติก็จะปฏิบัติไปครึ่งๆ กลางๆ ก็จะสรุปไม่ได้ว่ามันให้ผลจริงหรือเปล่า? ดังนั้นผู้ปฏิบัติ หรือครูก็จะเหมือนว่าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เสียเวลา ผลการเรียนตกต่ำ นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
อันนี้คือปัญหาหลักเลย ทั้งๆ ที่ครูมีหน้าที่สอนเด็กให้อ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น แต่แล้วสิ่งเหล่านี้ย้อนกลับมาถามถึงครู ว่าครูไม่ได้สอนเด็กหรือ? สังคมต้องถามว่าทำไมครูสอนเด็กให้อ่านหนังสือไม่ได้ล่ะ? คิดเลขไม่เป็นล่ะ? อย่างนี้มากกว่า ครูสามารถ กล่าว


ขาดแคลนบัณฑิตแต่บัณฑิตก็ยังตกงาน
ประเทศเราไม่มีแผน และกลไกการกำกับการผลิตกำลังคนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ในขณะที่ผู้สำเร็จการศึกษาในบางสาขามีมากมายจนล้นงาน จนพบเนืองๆ ว่า ในการรับสมัครงานบางตำแหน่ง มีผู้สมัครหลายหมื่นคนเพื่อแย่งกันเข้าทำงานที่มีการรับเพียงไม่กี่สิบอัตรา แต่บางสาขาวิชากลับขาดแคลนกำลังคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรม และทางด้านการแพทย์ เราต้องการให้มีผู้เข้าศึกษาสายอาชีวะประมาณครึ่งหนึ่ง จึงจะทำให้มีกำลังคนเพียงพอต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่า มีผู้เข้าเรียนอาชีวะเพียง 27% ทั้งนี้ นับรวมถึงผู้ที่ไม่ได้เรียนสายอาชีวะแท้ แต่ไปเรียนอยู่ในวิทยาลัยอาชีวะด้วย เช่น สาขาด้านการบริหาร ซึ่งหมายความว่า หากนับสายช่างจริงๆ จะมีจำนวนน้อยกว่านั้นมาก กลายเป็นว่าในปัจจุบันเด็กที่เข้าเรียนในการจัดการศึกษาในระบบนั้นมีอนาคตที่ค่อนข้างชัดเจนว่าจะต้องตกงาน และปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น