"A different
perspective"
วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558
วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558
Project 6 : “Opposing Forces”- A Video Diptych --A different perspective--
A different
perspective
จุดเริ่มต้นของความคิดที่ดีเกิดจากการมีมุมมองที่แตกต่างแต่ไม่แตกแยกการยอมรับและปรับเปลี่ยนมุมมองเข้าหากันคือ
วิธีการหนึ่งที่ก่อให้เกิดความสามัคคีมุมมองที่แตกต่างอาจทำให้เราเห็นมุมอื่น ๆ
ได้หลายมุม
ที่มาของภาพ : http://www.trippingoverland.com/wp-content/uploads/2012/01/USA_California_SanFrancisco_GoldengateBridge_Perspective1.jpg
มุมมองทางความคิดอาจทำให้เราเห็นมุมมองที่หลากหลายมุมมองที่มองต่างมุม
หากเรานำส่วนที่แตกต่างมาสมานฉันท์ทางความคิดย่อมก่อให้ความคิดมีพลังที่ยิ่งใหญ่ที่จะเป็นกลไกไขไปสู่ความสำเร็จและความสงบสุขในสังคมต่อไป
หากเปรียบมุมมองทางความคิดเหมือนกับสับปะรดก็จะทำให้เราเห็นว่ารอบ ๆ ตัวของเรานั้น
ยังมีมุมมองที่แตกต่างมากมายในความเหมือนอาจมีความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ซ่อนอยู่
ในความแตกต่าง อาจมีความเหมือนกันได้มากถ้าเราสังเกตดูให้ดีในชีวิตจริงก็มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอสิ่งใดที่เราเคยชิน
ที่มาของภาพ : https://c1.staticflickr.com/5/4119/4884006357_d59b65ec79_b.jpg
เรามักจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงแต่พอเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็ก
ๆ น้อย ๆ จะทำให้เราเห็นความแตกต่าง เพราะฉะนั้น ความคิดอารมณ์ ความรู้สึก
ย่อมเกิดความแตกต่างอย่างแน่นอนแต่ถ้าเรารวมเอาอารมณ์ความรู้สึก บวกกับความคิดที่ดี
ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล หนึ่งอารมณ์ บวกความรู้สึก คูณด้วยพลังความคิด ผลลัพธ์ที่ได้
นั้นก็คือหนึ่งพลังใจแห่งความสามัคคีที่ยิ่งใหญ่ดังนั้นเราจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกอย่างล้วนมีมุมมองที่แตกต่าง
แม้กระทั้งระบบการศึกษาเองก็ตาม
ที่มาของภาพ : https://electia.files.wordpress.com/2013/09/blog-14-media-different-perspectives.jpg
จากเหตุผลข้างต้นทางคณะผู้จัดทำได้ตะหนักถึงความสำคัญของแนวคิดดังกล่าว
จึงได้จัดทำ A Video Diptych ในหัวข้อเรื่อง A different
perspective
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558
Project 6 : “Opposing Forces”- A Video Diptych --เลือกหัวข้อที่น่าสนใจ--
จากการระดมสมองเลือกหัวข้อในการทำวิดีโอ
จึงได้หัวข้อที่น่าสนใจดังนี้
A different perspective
ทุกๆอย่างมีมุมมองที่แตกต่างกัน
แม้แต่การศึกษาต่างตนก็ต่างมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน
การเรียนรู้โลกกว้าง
การเรียนรู้ไม่เพียงแต่ในห้องเรียน
ทุกๆอย่างที่พบเจอบนโลกล้วนทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ทั้งนั้น
Creative Thinking
การคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
การคิดนอกกรอกไม่เหมือนใครในบางเรื่องอาจทำให้เราประสบความสำเร็จก็เป็นได้
จากความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่มจึงได้ตัดสิงใจเลือกเรื่องที่น่าสนใจและเหมาะในการทำวิดีโอมากที่สุด
คือ “A
different perspective”
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558
Project 6 : “Opposing Forces”- A Video Diptych --รายละเอียด--
Project 6 : “Opposing Forces”- A Video Diptych
Assignment : สร้าง
Video แบบ Diptych ในเวลา 1
นาที
ที่นาเสนอการเปรียบเทียบและแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งของพลังแห่งความแตกต่าง.
Period : 08/04/58
- 22/04/58
Present : 22/04/2558
ตัวอย่าง A Video Diptych
ที่มา :
https://www.youtube.com/watch?v=Fz6Ytsq-9f0
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558
Project 5 : “to change” Photograph --เลือก Photograph ที่ดีที่สุด--
จากหัวข้อของ Photograph ที่เลือกไว้คือ “Learning of Life” จึงได้ภาพที่สื่อความหมายมากที่สุดคือ
ทางเดินเปรียบเหมือนการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตและชั้นหนังสือเปรียบเหมือนการเรียนรู้ในตำรา
วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558
Project 5 : “to change” Photograph --เลือกหัวข้อหลักของกลุ่ม--
จากการระดมสมองของสมาชิกในกลุ่มทำให้ได้หัวข้อในการทำ
Photograph ที่น่าสนใจทั้งหมด 3 หัวข้อดังนี้
กาลเวลา “Period of time”
เวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด
และเวลาจะเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆไม่รอใคร คนเราต้องใช้เวลาที่มีอยู่อย่างรู้คุณค่า
เพราะถ้าหากเสียไปแล้วจะไม่มีวันเรียกคืนได้
ที่มาของภาพ : http://www.myadroit.com/wp-content/uploads/2015/03/time-management1.jpg
Learning of Life
การเรียนรู้ที่จะได้ผลมากที่สุดคือการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนในตำราและการเรียนรู้นอกห้องเรียนหรือวิชาชีวิต
ที่มาของภาพ : http://www.teacherplus.org/wp-content/uploads/2009/11/learning-life1.jpg
กลับมุมมอง “Change of angle”
เพียงแค่เราเปลี่ยนทัศนคติเราอาจจะมองเห็นอะไรที่กว้างมากขึ้น เหมือนการกลับมุมมองทำให้เราได้เห็นในอีกมุมหนึ่งซึ่งแปลกจากเดิมที่เป็นอยู่
ที่มาของภาพ : http://www.magnethaz.hu/wp-content/uploads/2014/10/Change-Your-Attitude-Change-Your-Future-Self-Improvement-Awareness.jpg
หัวข้อที่ทุกคนลงความเห็นว่าน่าสนใจและเหมาะกับเรามากที่สุดคือ
"Learning of Life"
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558
Project 5 “to change” Photograph --รายละเอียด--
Project
5 : “to
change” Photograph
Assignment : ใน Project
1 เป็นงานออกแบบ Poster บนพื้นฐานการเปลี่ยนแปลงของสังคม
แต่ใน Project 3 ก็ยังอยู่บนพื้นฐานของคาว่า "to change" หรือ "การเปลี่ยนแปลง" เพื่อที่จะพิจารณาว่าใครสามารถที่จะเปลี่ยนการรับรู้ผ่านการเทียบเคียงภาพที่ได้จากการถ่ายภาพที่ได้จากการถ่ายภาพจากมุมมองของตนเอง โดยใช้เทคนิค Diptych
Period : 25/03/2558 - 08/04/2558
Present :
08/04/2558
ตัวอย่างภาพที่ให้เทคนิค Diptych
ที่มาของภาพ : http://www.jaywatson.com/blog/wp-content/uploads/2009/04/watson_080626_0531_mb_web.jpg |
วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558
Project 4 E-book --สร้าง E-book--
การสร้าง E-book สามารถสร้างได้หลายโปรแกรม
เช่น Flip Album ,Sigil และ Desktop Author
แต่สำหรับ E-book เล่มนี้ให้โปรแกรม Desktop Author
ในการสร้างและยังใช้โปรแกรมเสริมในการออกแบบต่างๆ อย่าง Adobe Photoshop และ Adobe Illustrator
วิธีการสร้าง E-book โดยโปรแกรม Desktop
Author
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558
Project 4 E-book --ออกแบบ Template--
Template ที่สมาชิกกลุ่มช่วยกันออกแบบเพื่อใช้ใน E-book
และนำ Template
ทั้งหมดที่ออกแบบมาสร้างเป็น Template ใหม่ที่จะให้ใน E-book
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558
Project 4 E-book --เลือกหัวข้อในการทำ E-book--
จากการระดมสมองเลือกหัวข้อหลักตกลงเลือกเรื่อง
Co-operative Learning โดยมีเนื้อหาดังนี้
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Cooperative Learning)
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
โดยใช้กระบวนการกลุ่มให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทำงานร่วมกันเพื่อผลประโยชน์และเกิดความสำเร็จร่วมกันของกลุ่ม
ซึ่งการเรียนแบบร่วมมือไม่ใช่เป็นเพียงจัดให้ผู้เรียนทำงานเป็นกลุ่ม เช่น ทำรายงาน
ทำกิจกรรมประดิษฐ์หรือสร้างชิ้นงาน อภิปราย
ตลอดจนปฏิบัติการทดลองแล้ว ผู้สอนทำหน้าที่สรุปความรู้ด้วยตนเองเท่านั้น
แต่ผู้สอนจะต้องพยายามใช้กลยุทธ์วิธีให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการประมวลสิ่งที่มาจากการทำกิจกรรมต่างๆ
จัดระบบความรู้สรุปเป็นองค์ความรู้ด้วยตนเองเป็นหลักการสำคัญ
ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ
หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ
4-6 คน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการทำงานร่วมกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
และร่วมกันรับผิดชอบงานในกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย
เพื่อให้เกิดเป็นความสำเร็จของกลุ่ม
ลักษณะของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การจัดกิจกรรมแบบร่วมแรงร่วมใจว่ามีลักษณะ
ดังนี้
1.
มีการทำงานกลุ่มร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์ภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม
2.
สมาชิกในกลุ่มมีจำนวนไม่ควรเกิน 6 คน
3.
สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันเพื่อช่วยเหลือกัน
4.
สมาชิกในกลุ่มต่างมีบทบาทรับผิดชอบในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เช่น
วัตถุประสงค์ของการเรียนแบบร่วมมือ
1. เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนทุกระดับความสามารถ
2.
เพื่อส่งเสริมการช่วยเหลือร่วมมือกันระหว่างผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกัน
3.
เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์การเป็นผู้ชนะ และมีความสำเร็จในการเรียน
4.
เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่างๆ ด้วยตนเอง
5.
เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะทางสังคมต่างๆ เช่น ทักษะการสื่อสาร
ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ รวมทั้งทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการคิดการแก้ปัญหา
เป็นต้น
องค์ประกอบที่สำคัญ
การเรียนแบบร่วมมือมีหลายเทคนิค
เช่น จิกซอ ซีไออาร์ซี ทีจีที
แต่ละเทคนิค มีองค์ประกอบในการจัดการเรียนการสอนคล้ายกัน ดังนี้
ขั้นตอนการจัดกิจกรรม
1. ขั้นเตรียมการ
1.1 ผู้สอนชี้แจงจุดประสงค์ของบทเรียน
1.2 ผู้สอนจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย
กลุ่มละประมาณไม่เกิน 6 คน มีสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน ผู้สอนแนะนำวิธีการทำงานกลุ่มและบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม
2. ขั้นสอน
2.1 ผู้สอนนำเข้าสู่บทเรียน
บอกปัญหาหรืองานที่ต้องการให้กลุ่มแก้ไขหรือคิด
วิเคราะห์ หาคำตอบ
2.2 ผู้สอนแนะนำแหล่งข้อมูล
ค้นคว้า หรือให้ข้อมูลพื้นฐานสำหรับการคิดวิเคราะห์
2.3 ผู้สอนมอบหมายงานที่กลุ่มต้องทำให้ชัดเจน
3.
ขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม
3.1 ผู้เรียนร่วมมือกันทำงานตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับ
ทุกคนร่วมรับผิดชอบ ร่วมคิด ร่วมแสดงความคิดเห็น การจัดกิจกรรในขั้นนี้ ครูควรใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจ
ที่น่าสนใจและเหมาะสมกับผู้เรียน เช่น การเล่าเรื่องรอบวง มุมสนทนา คู่ตรวจสอบ คู่คิด ฯลฯ
3.2ผู้สอนสังเกตการณ์ทำงานของกลุ่ม
คอยเป็นผู้อำนวยความสะดวก ให้ความกระจ่างในกรณีที่ผู้เรียนสงสัยต้องการความช่วยเหลือ
4.
ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ ขั้นนี้ผู้เรียนจะรายงานผลการทำงานกลุ่ม ผู้สอนและเพื่อนกลุ่มอื่นอาจซักถามเพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดเจน เพื่อเป็นการตรวจสอบผลงานของกลุ่มและรายบุคคล
5.
ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงานกลุ่ม ขั้นนี้ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกัน สรุปบทเรียน ผู้สอนควรช่วยเสริมเพิ่มเติมความรู้
ช่วยคิดให้ครบตามเป้าหมายการเรียนที่กำหนดไว้ และช่วยกันประเมินผลการทำงานกลุ่มทั้งส่วนที่เด่นและส่วนที่ควรปรับปรุงแก้ไข
การวัดและประเมินผล
1.
ตามรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือเทคนิคต่างๆ โดยสรุปจะมีทั้งคะแนนรายบุคคลและรายกลุ่ม
2. วิธีการวัดผลใช้การทดสอบความรู้
การสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มการประเมินผลงาน
และการสัมภาษณ์ความรู้สึกความคิดเห็น
3.
เครื่องมือที่ใช้วัดผล ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบสัมภาษณ์แบบประเมินผลงาน
4.
ช่วงเวลาที่ใช้วัดผลคือ ก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน
การเตรียมตัวของผู้สอน
1.
ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) จัดกลุ่มผู้เรียนให้ทำงานด้วยกันได้อย่างเหมาะสม
และมีเป้าหมายการทำงานเดียวกัน
2.
จัดหลักสูตรหรือหน่วยที่เหมาะจะเรียนแบบร่วมมือ
3.
แจ้งเป้าหมายของงานให้ผู้เรียนทำ อธิบายกิจกรรมการเรียนรู้อย่างชัดเจน
4.
ดูแลประสิทธิภาพของการทำงานกลุ่ม ให้ความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น
5.
ให้ข้อมูลย้อนกลับของผู้เรียนทั้งด้านเนื้อหาและทักษะการทำงาน
6.
ประเมินผลสัมฤทธิ์และส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินตนเอง
ตัวอย่างการสอน
- การเรียนแบบร่วมมือ เทคนิคจิกซอว์
- ถ่ายทำเป็นวีดิทัศน์ ใช้เวลาชมประมาณ 15 นาที
- เนื้อหาที่เรียนคือ ประวัติศาสตร์โลก เป็นเนื้อหาในระดับปริญญาตรีโดยผู้เชี่ยวชาญที่เรียบเรียงเนื้อหา
คือศาสตราจารย์ ดร.สิริวรรณ ศรีพหล
- นักศึกษาในวีดิทัศน์ คือนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตหลักสูตรและการสอน
จำนวน 16 คน
ผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน
- ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้เนื้อหาสาระได้ด้วยตนเอง โดยความร่วมมือและช่วยเหลือจากเพื่อนๆ
- ผู้เรียนพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น
ทักษะการประสานสัมพันธ์ ทักษะการคิดทักษะการแสวงหาความรู้
ทักษะการแก้ปัญหา เป็นต้น
- ผู้เรียนกระตือรือร้นเกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองโดยรอบด้าน
- ผู้เรียนซึมซับวิถีการทำงานร่วมกันเป็นคณะ เมื่อเติบโตเข้าสู่สังคมจะสามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา : http://innovation.kpru.ac.th/web18/551121807/innovation/index.php/2014-02-21-03-28-50
วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558
Project 4 E-book --หาหัวข้อและเนื้อของหนังสือ--
Questioning Method
การจัดการเรียนรู้แบบใช้คำถาม (Questioning
Method)
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนากระบวนการทางความคิดของผู้เรียน โดยผู้สอนจะป้อนคำถามในลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นคำถามที่ดี สามารถพัฒนาความคิดผู้เรียน ถามเพื่อให้ผู้เรียนใช้ความคิดเชิงเหตุผล วิเคราะห์ วิจารณ์ สังเคราะห์ หรือ การประเมินค่าเพื่อจะตอบคำถามเหล่านั้น
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนากระบวนการทางความคิดของผู้เรียน โดยผู้สอนจะป้อนคำถามในลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นคำถามที่ดี สามารถพัฒนาความคิดผู้เรียน ถามเพื่อให้ผู้เรียนใช้ความคิดเชิงเหตุผล วิเคราะห์ วิจารณ์ สังเคราะห์ หรือ การประเมินค่าเพื่อจะตอบคำถามเหล่านั้น
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้คำถาม มีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้
1. ขั้นวางแผนการใช้คำถาม ผู้สอนควรจะมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะใช้คำถามเพื่อ
วัตถุประสงค์ใด รูปแบบหรือประการใดที่จะสอดคล้องกับเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของบทเรียน
2. ขั้นเตรียมคำถาม ผู้สอนควรจะเตรียมคำถามที่จะใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดย
การสร้างคำถามอย่างมีหลักเกณฑ์
3. ขั้นการใช้คำถาม ผู้สอนสามารถจะใช้คำถามในทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้และอาจจะสร้างคำถามใหม่ที่นอกเหนือจากคำถามที่เตรียมไว้ก็ได้ ทั้งนี้ต้องเหมาะสมกับเนื้อหาสาระและสถานการณ์นั้น ๆ
4. ขั้นสรุปและประเมินผล
4.1 การสรุปบทเรียนผู้สอนอาจจะใช้คำถามเพื่อการสรุปบทเรียนก็ได้
4.2 การประเมินผล ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการประเมินผลตามสภาพจริง
ประโยชน์
1. ผู้เรียนกับผู้สอนสื่อความหมายกันได้ดี
2. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. สร้างแรงจูงใจและกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน
4. ช่วยเน้นและทบทวนประเด็นสำคัญของสาระการเรียนรู้ที่เรียน
5. ช่วยในการประเมินผลการเรียนการสอน ให้เข้าใจความสนใจที่แท้จริงของผู้เรียน และ
วินิจฉัยจุดแข็งจุดอ่อนของผู้เรียนได้
6. ช่วยสร้างลักษณะนิสัยการชอบคิดให้กับผู้เรียน ตลอดจนนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนตลอดชีวิต
ที่มา : http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=3eef93ad6684ca88
Cooperative Learning
การส่งเสริมการเรียนแบบร่วมมือ สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี และได้เรียนรู้ทักษะทางสังคมและการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
1) การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน
2) การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด
3) ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน
4) การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย
5) การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม
ผลของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
1) มีความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายมากขึ้น
2) มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนดีขึ้น
3) สุขภาพจิตดีขึ้น
ประเภทของกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ
1) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ
2) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือย่างไม่เป็นทางการ
3) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างถาวร
ที่มา : http://jintana22muk.blogspot.com/2012/07/theory-of-cooperative-or-collaborative.html
Cognitivism
กลุ่มพุทธินิยม หรือกลุ่มความรู้ความเข้าใจ
หรือกลุ่มที่เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด นักคิดกลุ่มนี้เชื่อว่า
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมข้อมูล การสร้างความหมาย
และความสัมพันธ์ของข้อมูล และการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำและการแก้ปัญหาต่าง ๆ
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง
ทฤษฎีในกลุ่มนี้ทีสำคัญ
ๆ มี 5 ทฤษฎี คือ
1. ทฤษฎีเกสตอลท์(Gestalt’s Theory)
2. ทฤษฎีสนาม (Field Theory)
3. ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory)
4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual
Development Theory)
5. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A
Theory of Meaningful Verbal Learning)
ที่มา : http://www.oknation.net/blog/kunwee/2007/10/10/entry-2
Google For education
คือชุดของฟรีอีเมลล์จาก Google
และเครื่องมือต่างๆ เป็นแบบระบบเปิดในการทำงานร่วมกัน เปิดกว้างสำหรับคุณครู
นักเรียนนักศึกษา ชั้นเรียน และสมาชิกในครอบครัวทั่วโลก ตัวอย่างเครื่องมือที่เป็นที่นิยมใช้ที่ท่านรู้จักดี เช่น อีเมล
(Gmail), เอกสาร (Docs),
ปฏิทิน (Calendar) และ Groups เป็นต้น แต่เครื่องมือเหล่านี้จะใช้สำหรับในการเรียนการศึกษา
ที่มา : http://www.it24hrs.com/2012/google-apps-for-education-th/
ประโยชน์สำหรับชั้นเรียน
เตรียมการได้ง่าย
ครูสามารถเพิ่มนักเรียนได้โดยตรงหรือแชร์รหัสเพื่อให้นักเรียนเข้าชั้นเรียนได้
การตั้งค่าใช้เวลาเพียงครู่เดียว
ประหยัดเวลา
กระบวนการมอบหมายงานเรียบง่าย
ไม่สิ้นเปลืองกระดาษ ทำให้ครูสร้าง ตรวจ และให้เกรดงานได้ในที่เดียวกัน
ช่วยจัดระเบียบ
นักเรียนสามารถดูงานทั้งหมดของตนเองได้ในหน้างาน
และเนื้อหาสำหรับชั้นเรียนทั้งหมดจะจัดเก็บอยู่ในโฟลเดอร์ภายใน Google
ไดรฟ์โดยอัตโนมัติ
สื่อสารกันได้ดีขึ้น
Classroom ทำให้ครูส่งประกาศและเริ่มการพูดคุยในชั้นเรียนได้ทันที
นักเรียนสามารถแชร์แหล่งข้อมูลกันหรือตอบคำถามในสตรีมได้
ประหยัดและปลอดภัย
เช่นเดียวกับบริการอื่นใน Google Apps for Education กล่าวคือ Classroom
ไม่มีโฆษณา ไม่ใช้เนื้อหาหรือข้อมูลของนักเรียนในการโฆษณา
และให้บริการฟรีสำหรับโรงเรียน
ที่มา : https://www.google.com/intl/th/edu/classroom/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)